ผู้ให้สัมภาษณ์ : นางจุฑาทิพย์ อังศุสิงห์
อดีตผู้อำนวยการสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
และที่ปรึกษาสมาคมจดหมายเหตุไทย พ.ศ. ๒๕๖๑ – พ.ศ. ๒๕๖๓
ผู้สัมภาษณ์ : นางสาวภาพิศุทธิ์ สายจำปา
วันที่สัมภาษณ์ : วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
เนื่องในโอกาสสมาคมจดหมายเหตุไทยจะครบรอบ ๒๐ ปี ในวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๔ ทางสมาคมฯ จึงมีโครงการสัมภาษณ์ผู้ร่วมก่อตั้ง กรรมการ และผู้ให้ความอนุเคราะห์แก่งานของ สมาคมฯ อย่างดียิ่งตลอดมา เพื่อถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์แก่สาธารณชน
ภาพิศุทธิ์ : สวัสดีค่ะ วันนี้เรามาสัมภาษณ์คุณจุฑาทิพย์ อังศุสิงห์ อดีตผู้อำนวยการสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ขออนุญาตเรียกพี่หมูนะคะ สวัสดีค่ะพี่หมู
จุฑาทิพย์ : สวัสดีค่ะ
ภาพิศุทธิ์ : ไม่ทราบว่าพี่หมูดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ เมื่อปีไหนคะ
จุฑาทิพย์ : ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๖๑ จนถึง พ.ศ. ๒๕๖๓
ภาพิศุทธิ์ : พี่หมูมีตำแหน่งในสมาคมฯ ด้วย ไม่ทราบว่าตำแหน่งอะไรคะ
จุฑาทิพย์ : กรรมการโดยตำแหน่ง
ภาพิศุทธิ์ : ในช่วงแรกๆ พี่หมูมองสมาคมจดหมายเหตุไทยอย่างไรคะ
จุฑาทิพย์ : ส่วนตัวนี่นะคะ สมาคมจดหมายเหตุไทย พี่ประทับใจ เพราะว่าเราต้องยอมรับว่า วิชาชีพจดหมายเหตุเป็นวิชาชีพที่คนทั่วไปรู้จักค่อนข้างน้อย ถ้าเปรียบเทียบกับนักบัญชี สถาปนิก อะไรทั้งหลายแหล่ ฉะนั้นพอพูดถึงวิชาชีพจดหมายเหตุ คนโดยทั่วไปก็ไม่ค่อยรู้จักเรา เราเองก็มีเครือข่ายมีพรรคพวกเพื่อนฝูงที่เป็นนักจดหมายเหตุด้วยกันน้อยก็ค่อนข้างน้อย ดังนั้นพอมีสมาคมจดหมายเหตุไทยเกิดขึ้น พี่ประทับใจและดีใจว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่มีใจรักงานจดหมายเหตุเหมือนกัน และเสียสละมาตั้งสมาคมเพื่อทำงานจดหมายเหตุให้ชาติบ้านเมือง ก็ดีใจค่ะ
ภาพิศุทธิ์ : ในช่วงที่พี่หมูเป็นผู้อำนวยการสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ หอจดหมายเหตุแห่งชาติกับสมาคมฯ ได้ร่วมมือกันทำโครงการอะไรกันบ้างคะ
จุฑาทิพย์ : ตอนที่พี่ยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ พี่กับทางสมาคมฯ เราค่อนข้างคุ้นเคยกัน แม้แต่คุณตุ้ย (ภาพิศุทธิ์) เราก็คุ้นเคยกัน ตัวท่านนายกเอง ท่านธงชัยเราก็สนิทสนมมาเกินกว่า ๒๐ ปี เพราะฉะนั้นเรารู้จักคุ้นเคยและร่วมมือกันมาโดยตลอดอยู่แล้ว แต่ทีนี้พอพี่ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ มีส่วนช่วยให้สมาคมกับหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กว้างขวางขึ้น เป็นทางการมากขึ้น เท่าที่จำได้งานใหญ่ๆ ที่ทำงานร่วมมือกันคือเรื่องของนิทรรศการ นิทรรศการที่เพิ่งผ่านไปคือ วันจดหมายเหตุสากล ทางสมาคมฯ ก็ช่วยหอจดหมายเหตุแห่งชาติได้มาก โดยเฉพาะในเรื่องของการเสวนา ที่ได้เชิญวิทยากรที่มีความรู้และน่าสนใจหลายๆ ท่านมาเสวนาผ่านนิทรรศการเสมือนจริง อีกงานหนึ่งก็เป็นนิทรรศการฟิล์มกระจก นอกจากงานนิทรรศการแล้ว ทางสมาคมฯ จัดเสวนาหรือมีกิจกรรมอะไรทางหอจดหมายเหตุจะให้ความร่วมมือ ตัวพี่ถ้ามีโอกาส พี่จะไปเข้าร่วมฟัง ไปร่วมกิจกรรมอยู่เสมอค่ะ
ภาพิศุทธิ์ : พี่มองสมาคมจดหมายเหตุไทยเป็นอย่างไรบ้าง
จุฑาทิพย์ : สมาคมฯ นี้นะคะ จริงที่บอกว่าดีใจที่สมาคมฯ จัดตั้ง อีกใจหนึ่งลึกๆ เลย ตั้งแต่สมาคมฯ เริ่มก่อตั้งที่ได้ทราบว่าจะมีสมาคมฯ ใจลึกๆ คือเป็นห่วง เป็นห่วงอย่างที่บอกว่าวิชาชีพของเราไม่ค่อยมีใครรู้จัก เพราะฉะนั้นคนที่จะมาทำสมาคมฯ ใจก็เป็นห่วงว่าจะเจอปัญหาอุปสรรคไรมากมายแค่ไหน แล้วคนที่มาช่วยสมาคมฯ ก็จะต้องมีใจ ต้องทุ่มเทเสียสละกันมากมายแค่ไหน จะผ่านพ้นไปด้วยดีไหม ก็เป็นห่วง แต่ถ้าถาม ณ วันนี้ไม่น่าห่วงละ ก็จะครบ ๒๐ ปี ในปีหน้า เพราะฉะนั้นสมาคมฯ มาถึงขนาดนี้ก็แปลว่า กรรมการและทุกคนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่นายกท่านแรกมาจนปัจจุบัน ทุกคนทุ่มเท มีใจมีผลงานในเรื่องจดหมายเหตุ ความห่วงใยคงไม่มีละ คงมีแต่ความชื่นชมและเป็นกำลังใจให้ รวมถึงกำลังกายด้วย ถ้ามีอะไรอยากให้ช่วยเหลือก็ยินดี
ภาพิศุทธิ์ : มีสิ่งที่พี่หมูคาดหวังอะไรจากสมาคมจดหมายเหตุไทยบ้างคะ
จุฑาทิพย์ : อยากให้สมาคมฯ เป็นปึกแผ่นมั่นคงแบบนี้หรือยิ่งๆ กว่านี้ มีสมาชิกมากขึ้น เพราะว่าผลจากกิจกรรมจากความทุ่มเทของสมาคมฯ มีส่วนทำให้คนนักเรียน นิสิตนักศึกษาหรือประชาชนทั่วไป รู้จักงานจดหมายเหตุมากขึ้น ทั้งจากตัวท่านนายกธงชัย ทั้งจากกรรมการทุกท่าน กิจกรรมที่สมาคมฯ จัดและเผยแพร่ออกไป ทำให้งานจดหมายเหตุเป็นที่รู้จัก ถ้ามองจากมุมมองของพี่ ในฐานะที่เป็นนักจดหมายเหตุมาเนิ่นนานและเป็นผู้อำนวยการ คิดว่าถ้าเปรียบเทียบจากเดิมกับปัจจุบัน คนรู้จักมากขึ้น ส่วนหนึ่งคิดว่าเป็นผลจากการทุ่มเทของสมาคมฯ นะค่ะ
ภาพิศุทธิ์ : ในมุมมองของพี่หมูอยากเรียนถามพี่หมูว่านักจดหมายเหตุรุ่นเก่ากับนักจดหมายเหตุรุ่นปัจจุบันมีความแตกต่างกันอย่างไร
จุฑาทิพย์ : นักจดหมายเหตุในแง่ของวิชาการ ถ้าเป็นวิชาการจดหมายเหตุสมัยก่อน สมัยนี้ไม่มีความแตกต่างกัน หลักการของงานจดหมายเหตุยังเป็นหลักการของงานจดหมายเหตุอยู่อย่างนั้น แต่ว่าสมัยก่อนกับสมัยนี้ถ้าต่างกัน เป็นเรื่องของสื่อ เรื่องของบริบททางสังคม ซึ่งต้องยอมรับว่า ๒๐-๓๐ ปี ๖๐ ปี ที่ผ่านมาบริบททางสังคมมันเปลี่ยนไป สื่อโซเชียล ลักษณะของเอกสารมีความเปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นถ้ามองอดีตกับปัจจุบันหลักการคงเดิมแต่สิ่งที่เปลี่ยนไป การประชาสัมพันธ์ การดำเนินงานเชิงรุกหรือแม้แต่การเข้าถึงเอกสารเปลี่ยนไป ตรงนี้ต้องปรับตัวให้ทันสมัยขึ้น ต้องเข้าถึงให้มากขึ้น ต้องพร้อมในเรื่องของการบริการมากขึ้นกว่าเดิม
ภาพิศุทธิ์ : อยากให้พี่หมูฝากคำแนะนำไปยังนักจดหมายเหตุปัจจุบันว่าควรทำอย่างไรบ้าง
จุฑาทิพย์ : ถ้าจะฝาก คิดว่าถ้าเราก้าวมาเป็นนักจดหมายเหตุแล้ว อย่างน้อยใจเราคือนักจดหมายเหตุละ พอพูดคำว่านักจดหมายเหตุ พอเราสบตากัน เราเข้าใจแล้วว่าชีวิตเราต้องเป็นอย่างไร อยากให้เขา ทั้งตุ้ยและทุกคนมีใจรักในงานจดหมายเหตุเหมือนที่พี่ๆ รุ่นโบราณเขาสร้างมา อะไรที่โบราณสร้างมา เราก็อนุรักษ์ไว้ ในขณะเดียวกันเราก็สืบสานต่อยอด ก็คือว่าปริบทของสังคมเปลี่ยนไป ลักษณะเอกสารเปลี่ยนไป การดำเนินงานโครงการกิจกรรมอาจจะต้องเน้นในเรื่องที่แตกต่างไปจากเดิม แต่ขอให้มีใจ ทำเพื่อองค์กร ทำเพื่อชาติบ้านเมืองเพราะเราก็รู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของหลักฐานแล้วคือเอกสารจดหมายเหตุนั่นเอง
ภาพิศุทธิ์ : ในโอกาสที่สมาคมจดหมายเหตุไทยครบ ๒๐ ปี พี่หมูอยากจะฝากอะไรถึงสมาคมฯ ไหมคะ
จุฑาทิพย์ : อย่างแรกเลยขอแสดงความยินดีที่สมาคมฯอยู่ยั้งยืนยงมาจน ๒๐ ปี มันเกิดจากความทุ่มเททั้งด้วยแรงใจ แรงกายของตัวท่านนายกสมาคมฯและกรรมการทุกท่านของสมาคมฯ รวมทั้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสมาคมฯทุกท่าน นอกจากความชื่นชมแล้วดิฉันอยากจะส่งแรงกายและแรงใจ ในโอกาสที่จะสามารถช่วยสมาคมฯได้ อยากให้สมาคมฯยืนหยัดอยู่อย่างนี้เคียงคู่กับหอจดหมายเหตุแห่งชาติตลอดไปเพื่อเราจะได้ร่วมมือประสานงาน ประสานใจ อนุรักษ์เอกสารสำคัญซึ่งเป็นเอกสารจดหมายเหตุสำคัญของชาติ และร่วมมือกันสร้างความความเข้าใจ สร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนในชาติให้เห็นความสำคัญของงานจดหมายเหตุ เอกสารจดหมายเหตุอยู่ต่อไปค่ะ
ภาพิศุทธิ์ : ทางสมาคมจดหมายเหตุไทย ต้องขอบคุณพี่หมูเป็นอย่างยิ่งนะคะ ได้ความรู้มากมายเลยคะ ที่ได้ให้เวลาและความรู้ต่างๆ แก่จดหมายเหตุไทย ขอบพระคุณ ณ ที่นี้อีกครั้งค่ะ
จุฑาทิพย์ : ยินดีค่ะ